คำนวณดัชนีมวลกายของคุณได้ง่ายๆ ภายใน 30 วินาที
BMI ของคนไทยใช้เกณฑ์ที่แตกต่างจากประเทศตะวันตก จึงควรใช้สูตรและค่ามาตรฐานที่เหมาะสมกับคนไทยโดยเฉพาะ.
เกณฑ์ BMI ของคนไทยแบ่งออกเป็น ผอม ปกติ เริ่มอ้วน และอ้วน ซึ่งช่วยให้ประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพได้อย่างถูกต้อง.
BMI คือค่าที่ใช้ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักและส่วนสูง ซึ่งช่วยระบุความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน และโรคหัวใจ.
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคำนวณ BMI เพื่อวางแผนลดน้ำหนัก ลดไขมัน และติดตามผลอย่างถูกต้องตามตาราง BMI คนไทย.
ใช้ตรวจสอบดัชนีมวลกาย ควบคู่กับแผนออกกำลังกาย เช่น ฟิตเนส วิ่ง ปั่นจักรยาน เพื่อประเมินสุขภาพและความเสี่ยงโรคอ้วน.
ช่วยประเมินค่า BMI หลังคลอด พร้อมแนวทางควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสำหรับคนไทยและปลอดภัยสำหรับคุณแม่.
การติดตาม BMI เป็นส่วนสำคัญของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานและภาวะอ้วนลงพุง.
ช่วยประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วนด้วยค่ามาตรฐานตาราง BMI คนไทย เฉพาะคนไทย.
เหมาะสำหรับผู้ที่นั่งนาน เสี่ยงไขมันสะสม ใช้ตรวจสอบ BMI เพื่อลดความเสี่ยงอ้วนลงพุงและปรับพฤติกรรมสุขภาพ.
คำนวณ BMI เพื่อประเมินสุขภาพ ป้องกันภาวะผอมเกินหรืออ้วนเกิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคในผู้สูงอายุ.
เหมาะสำหรับนักกีฬาและนักวิ่งที่ต้องการประเมินน้ำหนักตัว เปอร์เซ็นต์ไขมัน และผลต่อสมรรถภาพร่างกายตามBMI สำหรับนักกีฬา.
BMI (Body Mass Index) หรือ ดัชนีมวลกาย คือตัวเลขที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักและส่วนสูงของคุณ ซึ่งช่วยบอกว่าน้ำหนักของคุณอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ การคำนวณ BMI เป็นประจำช่วยให้คุณติดตามสุขภาพ ป้องกันโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยในการวางแผนการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์การอนามัยโลก (WHO) และกระทรวงสาธารณสุขไทยแนะนำให้คนไทยมี BMI อยู่ระหว่าง 18.5-22.9 เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด
สำหรับคนไทยและคนเอเชีย เกณฑ์การประเมินค่า BMI จะแตกต่างจากชาวตะวันตก โดยกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุขไทยกำหนดดังนี้: BMI ต่ำกว่า 18.5 แปลว่าน้ำหนักน้อยเกินไป อาจเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการ BMI 18.5-22.9 ถือว่าน้ำหนักปกติและเหมาะสมที่สุด BMI 23.0-24.9 เริ่มมีน้ำหนักเกิน ควรเริ่มควบคุมอาหารและออกกำลังกาย และ BMI 25.0 ขึ้นไป ถือว่าอ้วน เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย
หาก BMI ของคุณสูงเกินไป (มากกว่า 23) ควรเริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น ลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง เพิ่มผักและผลไม้ กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ นอนหลับให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน และจัดการความเครียด หาก BMI ต่ำเกินไป (ต่ำกว่า 18.5) ควรเพิ่มปริมาณอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ กินอาหารบ่อยขึ้นวันละ 5-6 มื้อ เพิ่มโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ นม และถั่ว ออกกำลังกายแบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และที่สำคัญควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล
สำหรับคนไทยและคนเอเชีย ค่า BMI ที่ต่ำกว่า 18.5 ถือว่าน้ำหนักน้อยหรือผอมเกินไป โดยแบ่งระดับความรุนแรงได้ดังนี้: BMI 17.0-18.4 เป็นภาวะผอมเล็กน้อย อาจยังไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่ควรเพิ่มน้ำหนัก BMI 16.0-16.9 เป็นภาวะผอมปานกลาง เริ่มมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ อาจมีภูมิคุ้มกันต่ำ ง่ายต่อการเจ็บป่วย และ BMI ต่ำกว่า 16.0 เป็นภาวะผอมมาก มีความเสี่ยงสูงต่อโรคกระดูกพรุน ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และปัญหาสุขภาพร้ายแรง ผู้ที่มี BMI ต่ำกว่า 18.5 ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เช่น โรคไทรอยด์ทำงานเกิน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง หรือความเครียดเรื้อรัง และควรเริ่มเพิ่มน้ำหนักด้วยการกินอาหารที่มีโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ไขมันดี และออกกำลังกายแบบ Weight Training เพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อ
สำหรับคนไทยอายุ 40 ปีขึ้นไป เกณฑ์ BMI ที่เหมาะสมอาจปรับเปลี่ยนเล็กน้อยจากวัยหนุ่มสาว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามธรรมชาติ ได้แก่ มวลกล้ามเนื้อลดลง อัตราการเผาผลาญช้าลง และความหนาแน่นของกระดูกลดลง สำหรับวัยกลางคน 40-59 ปี ค่า BMI ที่เหมาะสมคือ 18.5-23.9 โดยควรรักษาให้อยู่ใกล้ 21-22 เพื่อลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานและหัวใจ ส่วนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป การศึกษาพบว่า BMI ที่ 22-25 อาจเหมาะสมกว่า เพราะช่วยป้องกันภาวะขาดสารอาหาร รักษามวลกระดูกและกล้ามเนื้อ และลดความเสี่ยงการหกล้ม อย่างไรก็ตาม คนอายุ 40+ ควรให้ความสำคัญกับสัดส่วนเอวด้วย ชายควรมีเอวไม่เกิน 90 ซม. และหญิงไม่เกิน 80 ซม. เพราะไขมันที่สะสมบริเวณหน้าท้องเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวานมากกว่า BMI เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ควรตรวจสุขภาพประจำปี วัดความดัน ระดับน้ำตาล คอเลสเตอรอล และความหนาแน่นกระดูกเป็นประจำ
แม้ว่า BMI จะเป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ไม่เหมาะสมสำหรับบางกลุ่มคนดังนี้: 1. นักกีฬาและผู้ที่เล่นกล้ามเนื้อ - กล้ามเนื้อหนักกว่าไขมัน ทำให้ BMI สูง แต่ไม่ได้หมายความว่าอ้วน ควรใช้เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย (Body Composition) แทน 2. เด็กและวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี - ควรใช้กราฟ BMI-for-age ที่คำนึงถึงการเจริญเติบโตตามวัย ไม่ใช้เกณฑ์ผู้ใหญ่ 3. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร - น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นเรื่องปกติและจำเป็น BMI ไม่สามารถสะท้อนสุขภาพที่แท้จริงได้ 4. ผู้สูงอายุมาก (80 ปีขึ้นไป) - มวลกล้ามเนื้อและกระดูกลดลงมาก BMI อาจไม่สะท้อนสุขภาพที่แท้จริง 5. ผู้ที่มีความพิการทางกายภาพ - โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถยืนหรือชั่งน้ำหนักได้ปกติ 6. ผู้ป่วยบางโรค เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง, โรคบวมน้ำ, หรือโรคที่มีผลต่อมวลกระดูกและกล้ามเนื้อ สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ ควรใช้วิธีการประเมินอื่นร่วมด้วย เช่น การวัดรอบเอว, เปอร์เซ็นต์ไขมัน, WHR (Waist-to-Hip Ratio) หรือปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
สูตรการคำนวณ: BMI = น้ำหนัก (กก.) ÷ ส่วนสูง² (ม.)
ตัวอย่าง: ถ้าคุณหนัก 65 กก. และสูง 170 ซม. (1.70 ม.)
BMI = 65 ÷ (1.70 × 1.70) = 65 ÷ 2.89 = 22.49